[แปล] "A Conversation With BTS" at the Grammy Museum in LA


"What we promised were two things:
We have to talk about what's really inside us, and we want to be helpful to the world... to say and speak and show something that this world needs,
Life is supposed to be very ironic and unstable, and in teenage years and in our twenties, it's more and more. We doubt ourselves, sometimes we wanna live, sometimes we wanna die, and it changes day to day — even hour by hour."

- RM at the Grammy Museum, 2018


RM และ Suga พูดถึงหลักการอันเป็นรากฐานที่สำคัญของบังทันโซยอนดัน

BTS ไม่รีรอที่จะให้เครดิทแก่ “บังชีฮยอก” ผู้เป็นทั้งซีอีโอของและโปรดิวส์เซอร์ของ Big Hit สำหรับการกำหนดวิสัยทัศน์ที่แท้จริงของวง “เขาเน้นย้ำกับพวกเราเสมอว่าพวกเราควรจะร้องเพลงเกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัวของเรา ความคิดและความรู้สึกของเรา สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานของทุกๆงานเพลงที่พวกเราทำออกมาครับ” Suga กล่าว “พอมองกลับไปยังจุดเริ่มต้น พวกเราสมาชิกในวงยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ตอนนั้นผมอายุ 20 ต้นๆ เราได้พูดคุยถึงปัญหาต่างๆที่พบเราเจอในวัยนั้น และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ BTS เป็นอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้”

RM เสริมว่า “พวกเราอยากจะมีส่วนช่วยโลกใบนี้ คุณบัง(ชีฮยอก)ต้องการให้ดนตรีและศิลปินของเขาเป็นเช่นนั้นครับ เราต้องการจะใช้ทักษะและความสามารถ บวกกับแรงบัลดาลใจที่เรามีในการช่วยเหลือโลกใบนี้ครับ”
__________________________________

Suga เข้าใจถึงเหตุผลที่เหล่าวัยรุ่นคนหนุ่มสาวสามารถเข้าถึงดนตรีของพวกเขา

Suga อธิบายอย่างละเอียดถึงเป้าหมายหลักของวงในปี 2018: เพื่อทำงานเพลงที่มีความลึกซึ้งด้วยเจตนาที่ต้องการจะเยียวยาคนรุ่นใหม่ “นึกย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ผมยังเเป็นเด็กนักเรียน ผมฟังเพลงเยอะมาก การฟังเพลงช่วยปลดปล่อยและการเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวผม ปัจจุบันนี้วัยรุ่นและคนในช่วงอายุ 20 ต้นๆก็ยังคงฟังเพลงกันอยู่เสมอ แต่พวกเรารู้สึกว่าไม่ค่อยมีเพลงดีๆที่ช่วยปลอบโยนพวกเขาได้มากพอ ดังนั้นเราน่าจะเติมเต็มในส่วนที่ขาดนี้ได้”

“ผมไม่คิดว่าเนื้อหาในเพลงเหล่านั้นจำกัดอยู่แค่ในเกาหลี คนหนุ่มสาวทั่วโลกต่างมีก็ความเจ็บปวด ความทุกข์ใจ และก็กำลังเผชิญปัญหาที่คล้ายๆกัน นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมแฟนๆของพวกเราสามารถเข้าถึงและเชื่อมโยงความรู้สึกของเขาเข้ากับเพลงของเราได้ครับ”
__________________________________


ความหมายเบื้อหลังสโลแกน "Music & Artist for Healing" (ดนตรีและศิลปินเพื่อการเยียวยา)

ในตอนเริ่มต้นของทุกๆวิดีโอของ BTS จะมีข้อความอันเรียบง่ายอยู่ใต้โลโก้ของ Big Hit เขียนไว้ว่า Music & Artist for Healing จากที่ RM ได้กล่าวไปข้างต้น วัตถุประสงค์หลักของวงนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนที่ BTS จะเดบิวต์ มันคือคำมั่นสัญญา...

“ก่อนที่จะเดบิวต์ พวกเราได้ให้สัญญาไว้สองข้อคือ หนึ่ง...พวกเราจะพูดถึงสิ่งต่างๆที่อยู่ในใจเรา และสอง...พวกต้องการทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อโลกใบนี้ เราจะบอกเล่า พูดถึง และแสดงออกถึงสิ่งที่โลกใบนี้ต้องการ" RM กล่าว "ชีวิตคนเราเป็นส่ิ่งที่แปลกประหลาดและไม่แน่นอน ในช่วงวัยรุ่นและช่วงอายุยี่สิบปีความรู้สึกไม่แน่นอนแบบนี้ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเรื่อยๆ เราต่างก็สงสัยในตัวเอง บางครั้งเราก็อยากจะมีชีวิตอยู่ แต่บางครั้งเราก็อยากจะตาย มันเป็นความรู้สึกที่เปลี่ยนไปในทุกๆวัน หรือแม้กระทั่งทุกๆชั่วๆโมง"

ดังนั้นสโลแกนที่ RM กล่าวคือคำสัญญาที่จะพูดถึง "สิ่งที่อยู่ภายในใจ" และ "จะมอบความช่วยเหลือสำหรับเพื่อนๆและโลกของเรา" ผ่านบทเพลงของพวกเขา
__________________________________

กระบวนการผลิตผลงานต่างๆของ Big Hit ที่ฟังดูผ่อนคลายได้อย่างน่าประหลาดใจ 

สำหรับ Big Hit กระบวนการผลิตทางงานศิลป์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงงานเพลง "มันรวมถึงการออกแบบท่าเต้น สไตล์ และสิ่งอื่นๆมากมายที่มารวมกัน" Suga กล่าว สำหรับบริษัทใหญ่อย่าง Big Hit คุณอาจคิดว่ากระบวนการผลิตผลงานต่างๆจะเกินขึ้นแบบปิดอยู่แค่ภายใน แต่ในความจริงมันกลับไม่ใช่อย่างนั้น Suga ได้เปรียบเทียบกระบวนการแต่งเพลงของบริษัทว่าเป็นเสมือน “แคมป์ทำเพลงที่มีขึ้นตลอดทั้งปี” ซึ่งสมาชิกสามารถส่งไอเดียเพลง (เนื้อเพลง ทำนอง บีท) ไปให้บังชีฮยอกได้ตลอดทั้งปี หลักจากนั้นการแชร์ข้อมูล ความคิดเห็น และคำแนะนำต่างๆก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Suga เล่าว่าทีมโปรดักชั่นต์ของ Big Hit นั้นมีความเท่าเทียมกันอย่างมาก โดยเหล่าโปรดิวเซอร์และสมาชิก BTS จะทำงานร่วมกัน ต่างคนต่างก็เป็นผู้ร่วมงานที่เท่าเทียมกันในกระบวนการของการทำเพลง “ถ้าหากเรามีกำแพงระหว่างพวกเราและทีมงาน เราจะไม่สามารถทำเพลงในแบบที่เรากำลังทำอยู่ได้”

และสำหรับวิธีที่พวกเขาแบ่งหน้าที่กันนั้น J-Hope กล่าวว่าสมาชิกวงทั้งเจ็ดคน “พยายามอย่างหนักที่จะทำหน้าที่ของตน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนเนื้อเพลง หรือการแต่งเพลง(ทำดนตรี) การมีส่วนร่วมในการทำเพลงของพวกเราส่งผลให้เพลงมีความจริงใจอยู่ในนั้นมากขึ้นครับ”
__________________________________



RM เล่าถึงเส้นทางของซีรีส์ Love Yourself

“เมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกเราเพิ่งเดบิวต์ เราพูดถึงโรงเรียนครับ” RM กล่าว “ในสามอัลบั้มแรก พวกเราแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวในโรงเรียน และอีกสามอัลบั้มต่อมาพวกเราก็พูดเรื่องราววัยหนุ่มสาว จากนั้นทุกคนต่างก็โตขึ้นใช่ไหมครับ พวกเราไม่ได้ไปโรงเรียนอีกต่อไปแล้ว ทัศนคติที่มีต่อชีิวิตของเราก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย แล้วต่อมาพวกเราจะพูดถึงเรื่องอะไรดีละ เราตระหนักได้ว่าเรื่องราวที่โลกนี้ต้องการมากที่สุดคือเรื่องของความรัก”

RM เล่าต่อว่า “หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า ความรัก หมายถึงการแค่มีความรักหรือการตกหลุมรัก คนหนุ่มสาวตกหลุมรักกันง่ายมากๆนะครับ แต่ถ้าใครไม่รักตัวเอง เขาคนนั้นก็จะไม่สามารถไปรักใครได้”

จากจุดเริ่มต้นตรงนั้น BTS และทีมงานก็ได้สร้างซีรีส์ขั้นมาทั้งหมด 4 ตอน แบ่งเป็น 3 อัลบั้มและ 1 วิดีโอเกี่ยวกับ ความรัก ความสูญเสีย และการยอมรับ “พวกเราใช้เวลาทำซีรีส์ Love Yourself ทั้้งหมดนานถึงสองปีครึ่ง ซึ่งมันเสี่ยงมากเลยครับ ต้องขอบคุณแฟนๆของเราอย่างมาก ที่พวกเขาให้การตอบรับ ให้ความรู้สึก และบอกเล่ากับพวกเราว่าพวกเขารักตัวเองมากขึ้นเพราะอัลบั้มชุดนี้”
__________________________________

หนุ่มๆ BTS พูดถึงการทำงานร่วมกันด้วยความสามัคคีที่สมบูรณ์แบบ

เมื่อในวงมีสมาชิกถึงเจ็ดคน แต่ละคนต่างก็มีบุคลิคนิสัยที่แต่งต่างกัน มันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีการออกความเห็นที่ไม่ลงรอยกันบ้าง แต่สมาชิกของ BTS ต่างสนับสนุนวิธีการพูดคุยอย่างเปิดเผยและเป็นกันเองระหว่างพวกเขาและทีมงาน

ไม่ต้องแปลกใจเลยที่สมาชิกผู้มองโลกในแง่ดีอย่าง J-Hope จะเป็นคนตอบคำถามในเรื่องนี้ “ถ้าเราคิดว่ามีอะไรบางอย่างที่ยังไม่ดีพอ เราจะบอกกันตรงๆครับ ยกตัวอย่างการออกแบบท่าเต้นนะครับ ถ้าเราเห็นว่ามันยากเกินไปสำหรับร่างกายของเรา ก็อย่างที่ผมบอก...ตอนนี้เราไม่ใช่เด็กๆแล้วด้วย ถ้ามันมากเกินไปพวกเราจะบอกปฏิเสธไปและก็หาทางเปลี่ยนแปลงเอาครับ”

Jimin พูดเสริมขึ้นว่า “มีการพัฒนาหลายๆอย่างเกินขึ้นในห้องอัดด้วยละครับ ในบางครั้งเนื้อเพลงและเมโลดี้มันดูเหมือนจะลงตัวแล้ว จนกระทั่งพวกเราได้ไปทำการอัดเสียงจริง ตอนนั้นแหล่ะเราถึงจะได้ค้นพบว่ามันมีปัญหาบางอย่าง ในเวลาแบบนั้นพวกเราจะรวมตัวกันพูดคุย และหาทางเพื่อปรับเปลี่ยนแก้ไขปัญหาพวกนั้นครับ”

Suga เล่าว่า...การเคารพซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ทำให้ BTS ยังอยู่บนเส้นทางที่ทำให้เดินหน้าต่อไปได้
__________________________________


Suga วิเคราะห์ถึงคอนเซ็ปต์ของ K-pop
เมื่อถูกถามว่า ถ้ามอง K-pop เป็นแนวเพลงประเภทหนึ่งแล้ว K-pop มีคุณสมบัติแต่งต่างจากดนตรีประเภทอื่นอย่างไร Suga ก็เกิดอาการลังเลที่จะให้คำนิยามนี้

“ผมค่อนข้างระมัดระวังที่จะให้คำจำกัดความ K-pop ว่าเป็นแนวเพลงแบบใดแบบหนึ่ง เพราผมไม่ต้องการที่จะกำหนดแนวเพลงให้ K-pop ผมเลยระต้องวังตรงนี้ครับ มันจะดีกว่าถ้าเราพูดถึง K-pop ในแง่ของคอนเทนท์ที่มีทุกอย่างอยู่รวมกัน ไม่ใช่เฉพาะแค่ดนตรี แต่รวมถึงเสื้อผ้า หน้าผม และท่าเต้นต่างๆ ทุกองค์ประกอบเหล่านี้ได้ผสมร่วมกันในคอนเทนท์ที่มีไว้สำหรับการรับชมและรับฟัง สิ่งเหล่านี้ทำให้ K-pop แตกต่างจากแนวเพลงแบบอื่นๆครับ”
__________________________________

และ Jin ก็ได้ยกตัวอย่างให้พวกเราฟัง
“เพลง title จะเป็นเพลงที่สะท้อนสีสันและเนื้อหาเป็นเอกลักษณ์ของอัลบั้มนั้นๆครับ ถ้าคุณอย่างรู้ว่าเนื้อหาหลักของอัลบั้มนั้นๆคืออะไร คุณก็สามารถไปชม MV ของเพลง title ในอัลบั้มนั้นได้ครับ” Jin พี่ใหญ่ของวงกล่าว ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเพลงทำไมบัลลาดที่ทรงพลัง Epiphany และเพลงที่มีสีสันฉูดฉาดอย่าง IDOL ถึงเป็นเพลงเปิดตัวอัลบั้ม Answer เพราะทั้งสองเพลงต่างก็ต่างก็พูดถึงประเด็นที่ว่า...พื้นฐานของการมีสุขภาพดีและมีความสุขนั้นเริ่มต้นมาจากการรักตัวเองอย่างแท้จริง
__________________________________


V เอ่ยข้อความอ่อนหวานน่าประทับใจ ในขณะที่ Jungkook มองไปถึงอนาคตข้างหน้า

มันเหมาะมากๆที่การสนทนาจะจบลงด้วยข้อความสั้นๆแต่คมกริบถึงเหล่า Army ที่ช่วยขับเคลื่อน BTS จากกรุงโซลมาถึงประเทศอเมริกา การออกอากาศบนรายการวิทยุและโทศทัศน์ต่างๆ และบัตรคอนเสิร์ตที่ถูกขายจนหมดเกลี้ยงสำหรับ stadium show ใน New York City

คำถาม: ทำไมความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณและแฟนๆุถึงได้มีความสำคัญนัก
“แฟนๆได้มอบปีกที่ทำให้พวกเราสามารถมายืนในจุดนี้ ดังนั้นพวกเรารู้สึกขอบคุณอย่างมากอยู่ตลอดเวลา พวกเรามาอยู่ตรงนี้ได้ก็เพราะแฟนๆครับ” V กล่าว

สุดท้าย Jungkook น้องเล็กสุดของวงได้ออกความเห็นเกี่ยวกับความสำเร็จครั้งล่าสุด
“(ความสำเร็จบนชาร์ตของ Billboard) แสดงให้เห็นว่าตอนนี้พวกเราได้มาถึงจุดไหนแล้ว และนั่นทำให้เราตระหนักถึงความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้นที่เรามี ผ่านการแสดงออกและการทำเพลงของเราครับ”
__________________________________


__________________________________

แปล: Love Inside Out
ใจความสำคัญจากบทความเต็มของ Joshua Calixto (MTV News) และบทความย่อของ Grammy ที่เขียนเล่าถึงการพูดคุยของบังทันโซยอนดันกับคุณ Scott Goldman ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของพิพิธภัณฑ์แกรมมี่ ในงาน "A Conversation With BTS" ที่เมือง Los Angeles เมื่อวันอังคารที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา มีผู้เข้าชมการพูดคุยสดร่วม 200 คน บัตรถูกจนขายหมดเกลี้ยงทันทีที่เปิดจอง -Info

Comments

Popular posts from this blog

[รีวิว] US Stadium Tour @ Soldier Field, Chicago “สภาพอากาศที่เลวร้ายก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้”

[แปล] ชูก้า (BTS) พูดถึงอคติอันไม่เป็นธรรมต่อแฟนคลับของไอดอล ในเบื้องหลังการไป UN